แบบอย่างของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ) ในด้านอาภรณ์ฮิญาบ
การระมัดระวังตนในการปฏิสัมพันธ์กับชายที่แปลกหน้า(เพศตรงข้าม)ในลักษณะเช่นนี้เป็นอุปนิสัยและมารยาทที่ติดกายของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์อัซซะรอ
(ซ.) ตลอดมา
ครั้งหนึ่งสาวกคนหนึ่งของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ซ็อลฯ)ซึ่งตาบอดผู้มีนามว่า
อบูบะซีร ได้มาหาท่านหญิง ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ซ็อลฯ)ได้แลเห็นท่านหญิงได้แต่งตัวปกปิดร่างกายอย่างมิดชิดออกมาพบอบูบะซีร
ประหนึ่งว่าตนเองกำลังอยู่ต่อหน้าบุคคลที่มีดวงตามองเห็นได้อย่างเป็นปกติ
ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ซ็อลฯ)ได้ถามท่านหญิงว่า อบูบะซีรเป็นคนตาบอดแล้วไฉนเจ้าจึงคุมกายอย่างมิดชิดถึงเพียงนี้? ท่านหญิงได้ตอบบิดาของตนว่า : เขาไม่เห็นข้า แต่ข้ามองเห็นเขา
ยิ่งไปกว่านั้นอย่างน้อยเขาก็จะสัมผัสกลิ่นกายของข้าได้
การระมัดระวังตนในการปฏิสัมพันธ์กับชายที่แปลกหน้า(เพศตรงข้าม)ในลักษณะเช่นนี้เป็นอุปนิสัยและมารยาทที่ติดกายของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์
อัซซะรอ (ซ.) ตลอดมา
อีกตัวอย่างหนึ่งจากความประเสริฐและสถานะอันสูงส่งของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์
อัซซะฮ์รอ(ซ.)นั่นคือ
เมื่อมีพระบัญชาจากอัลลอฮ์(ซ.บ.)มายังท่านศาสนทูต(ซ็อลฯ)ให้ปิดประตูบ้านของ
ทุกคนที่เปิดตรงเข้าสู่มัสยิดนะบะวี(ซ็อลฯ)นั้นได้ถูกยกเว้นจากบ้านของท่าน
หญิงฟาฏิมะฮ์(อ.)
การยกเวันดังกล่าวนี้ได้ทำให้ทุกคนประจักษ์ถึงเกียรติและความใกล้ชิดของบ้าน
หลังนี้ที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้าและต่อศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ซ็อลฯ)เป็นอย่างดี
และทุกคนก็ทราบดีว่าบ้านที่อยู่ใกล้กับมัสยิดของท่านศาสนทูตแห่งอัล
ลอฮ์(ซ็อลฯ)คือบ้านของท่านหญิง ด้วยกับคุณลักษณะต่างๆอันสูงส่งทั้งหมดนี้ของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ซ.)และด้วย
กับการอยู่ใกล้อย่างมากของบ้านหลังนี้ต่อมัสยิดนะบะวี(ซ็อลฯ)และแม้กระทั่ง
ว่าด้วยกับสถานะและความยิ่งใหญ่ของผู้เป็นอิมามญะมาอัตในมัสยิดหลังนี้ซึ่ง
ได้แก่ท่านศาสนฑูตแห่งอัลลอฮ์(ซ็อลฯ)เอง แต่ก็ไม่มีผู้ใดเคยเห็นหรือไม่เคยมีใครกล่าวถึงว่าท่านหญิงได้เคยยืนนมาซใน
มัสยิดหลังนี้ตามหลังท่านศาสนฑูตแห่งอัลลอฮ์(ซ็อลฯ) แม้แต่เพียงครั้งเดียว ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? ทั้งนี้เนื่องจากว่า ท่านหญิงมีความเชื่อมั่นว่า
ท่านศาสนฑูตแห่งอัลลอฮ์(ซ็อลฯ)และแม้แต่พระผู้เป็นเจ้าเองทรงรักในการที่
บรรดาสตรีจะนมาซภายในบ้านของพวกนาง
สตรีผู้ซึ่งไม่มีผู้ใดเคยเห็นท่านเคยยืนเผชิญหน้ากับบุรุษคนใด
หรือแม้แต่การยืนนมาซตามหลังท่านศาสนฑูตแห่งอัลลอฮ์(ซ็อลฯ)ภายในมัสยิดก็ตาม
แต่ไฉนเล่ายุคสมัยจึงได้กระทำกับท่านหญิงผู้สูงศักดิ์ท่านนี้ จนกระทั่งว่าภายหลังจากการเป็นชะฮีดของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ซ็อลฯ)
ท่านหญิงต้องย่างกายเข้าสู่มัสยิด
เพื่อกล่าวคำปราศรัยและทำหน้าที่ปกป้องสิทธิอันชอบธรรมของท่านอิมามอะลี(อ.)?
มีคำตอบที่ชัดเจนยิ่งในเรื่องนี้
และนั่นก็คือว่าการปกป้องอิมาม(ผู้นำ)แห่งยุคสมัยของตนนั้นเป็นหน้าที่จำเป็น(วาญิบ)สำหรับมนุษย์ทุกคนในโลกนี้
ทุกๆคนจำเป็นต้องปกป้องอิมามแห่งยุคสมัยของตนเองตามขอบเขตแห่งความสามารถของตน
และจะต้องพิทักษ์ปกป้องอิมาม(ผู้นำ)ของเขาจากการถูกทำร้ายและการยังอันตรายต่างๆจากเหล่าศัตรูของท่าน
ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ซ.)คือข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนที่สุดสำหรับเราทุกคน
ในยามที่ท่านอิมามแห่งยุคสมัยของตนอยู่อย่างเดียวดายและไม่มีผู้ช่วยเหลือ นั้น
สตรีที่เคยใช้ชีวิตอยู่หลังม่านก็ต้องออกมายืนอยู่ในสนามแห่งการต่อสู้
สงครามเพื่อปกป้องอิมาม(ผู้นำ)ของตน
และกระชากหน้ากากอันชั่วร้ายของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาให้ทุกคนได้เห็นเป็น ประจักษ์
และเหตุการณ์ดังกล่าวนี้เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่าใครบ้างเป็นผู้ที่ท่าน
หญิงมีความโกรธเกลียดซึ่งนั่นก็ทำให้ประจักษ์ชัดเช่นกันถึงคนที่ท่านศาสนทูต(ซ็อลฯ)มีความโกรธเกลียดต่อพวกเขา
อีกทั้งการปฏิเสธ(กุฟร์)และการถูกลง โทษของพวกเขาเหล่านั้นจะไมเป็นที่ปิดบังสำหรับผู้ใดอีกเลยจวบจนถึงวันกิยามะฮ์
วันนี้ก็เช่นเดียวกัน
ถ้าหากเราเป็นผู้ปฏิบัติตามท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ซ็อลฯ)
และมีความปรารถนาที่จะนำพาตัวเองเข้าอยู่ในแถวแห่งกองทัพของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ซ.)อย่างแท้จริงแล้ว
จำเป็นที่เราจะต้องปกป้องอิมามแห่งยุคสมัยของเรา
และจะต้องพิทักษ์ท่านจากการล่วงละเมิดและการทำร้ายจากเหล่าศัตรูของท่าน
เราทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดและในอาชีพการงานใดๆก็ตาม
และไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆที่เรามีความสามารถจำเป็นจะต้องพิทักษ์ปกป้องอิมาม(ผู้นำ)แห่งยุคสมัยของตนและพึงรู้เถิดว่าหน้าที่ขั้นต่ำที่สุดและเป็นอันดับแรกที่สุดที่เราทุกคนสามารถกระทำได้
นั่นคือเราจะต้องไม่เพิ่มเติมความเจ็บปวดให้กับท่านด้วยกับพฤติกรรมและคำพูดของเรา
และจงอย่าทำให้พฤติกรรมต่างๆของตัวเราเองกลายเป็นอุปสรรคและปราการขวางกั้นการปรากฏกาย(ซุฮูร)ของท่าน
บางทีด้วยกับการระวังรักษาสิ่งเหล่านี้
แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยตามขอบเขตที่เราสามารถกระทำได้ก็ตาม
อาจจะทำให้เราได้เข้าอยู่ในกองทัพของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ซ.)
และได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือในภารกิจอันยิ่งใหญ่ของท่าน
ข้อมูลจาก http://alhassanain.org/ |